18
Jul
สิงคโปร์
การเดินทางท่องเที่ยวในเส้นทางเรือสำราญ Spectrum of The Seas ระหว่างวันที่ 19-22 ก.ย. 65
การเดินทางท่องเที่ยวในเส้นทางเรือสำราญ Spectrum of The Seas ระหว่างวันที่ 19-22 ก.ย. 65
ก่อนจะเล่ารายละเอียดต่างๆให้ฟัง เรามาทำความรู้จักกับเรือ Spectrum of The Seas กันก่อนนะครับ เรื่อลำนี้เป็นเรือของบริษัท Royal Caribbean เป็นเรือสำราญระดับ Quantum Class ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 5,622 ท่าน รวมลูกเรือ มีจำนวนห้องพักทั้งสิน 2,137 ห้อง มีความสูง 16 ชั้น ซึ่งถือเป็นเรือลำใหญ่ที่สุดที่ล่องอยู่ในเอเชีย ณ ปัจจุบันครับ
วันแรกเดินทางจากกรุงเทพไปสิงคโปร์ด้วยสายการบินไทยวียดเจต เที่ยวบินที่ VZ628 ซึ่งออกเดินทางเวลา... เมือเดินทางมาถึงสิงคโปร์ผ่านการตรวจสัมภาระและตม. เราตัดสินใจเดินทางไปท่านเรือ Marina South Pier ด้วยรถไฟฟ้า ซึ่งจะต้องเปลี่ยนรถไฟทั้งหมดสามขบวนดังนี้ เริ่มต้นทางที่สนามบินชางกี นั่งรถไปลงสถานนี Tanah Merah แล้วต่อรถไฟสายสีเขียวไปที่สถานี City Hall ลงจากรถไฟไปต่อสายสีแดงเพื่อไปยังสถานี Marina South Pier ใช้เวลาในการเดินทางประมาณเกือบ 1 ชม. แต่ราคาประหยัดมากและยังใช้บัตรเครดิตในการเดินทางแทนที่จะต้องไปซื้อบัตรเติมเงินได้อีกด้วย เมื่อขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง Marina South Pier จะมีป้ายบอกทางไปยัง Marina Bay Cruise Center ใช้เวลาเดินแค่แปบเดียวก็ถึงแล้วครับ
เมื่อเดินมาถึงตรงบริเวณที่จอดรถบัสจะมีที่ให้นำกระเป๋ามาฝากไว้เพื่อนำขึ้นเรือโดยที่เราจะต้องแจ้งเลขห้องเราให้เจ้าหน้าที่ทราบครับ แนะนำว่าให้นำของต้องห้ามออกจากกระเป๋าก่อนนะครับ ถ้าไม่เอาออกกระเป๋าจะไม่มาถึงห้องแต่เราจะต้องไปเปิดกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่บนเรือตรวจก่อน แต่ถ้าท่านใดทำถูกต้องกระเป๋าของท่านจะมาหาที่หน้าห้องครับ
ขั้นตอนในการขึ้นเรือ Spectrum of The Seas ที่ท่าเรือ Marina Bay Cruise Center นั้นไม่ยาก
1. ฝากกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นเรือ จะมีบริการอยู่ 2 ที่
1.1 บริเวณลานจอดรถบัส
1.2 ตรงหน้าประตูทางเข้าอาคารชั้น 2
2. ตรวจสอบว่าเรามี SetSail Pass ซึ่งจะต้องทำการเช็คอินออนไลน์มาจากเว็บ ในกรณีที่ไม่ได้ทำมาจะต้องให้ทางเจ้าหน้าทำให้ก่อนซึ่งจะต้องใช้เวลามากขึ้นเยอะ
3. ตรวจสัมภาระที่ติดตัวขึ้นเครื่องทั้งหมด สิ่งของต้องห้ามจะถูกเก็บไว้ที่เจ้าหน้าที่ โดยที่เจ้าหน้าที่จะทำใบรับของไว้ให้ เมื่อเที่ยวเรือเสร็จก็เอาใบที่เจ้าหน้าที่ให้ไว้มาแลกรับของคืนครับ
4. พบเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้ว่าตรงกันไหมและคอนเฟิร์มให้กับเรา ในกรณีที่ไม่ได้ปริ้น SetSail Pass มา เจ้าหน้าที่จะปริ้นให้ที่ตรงนี้เพื่อใช้ในการขึ้นเรือ
5. ไปนั่งรอการเรียกขึ้นเรือในที่นั่งที่ทางเรือจัดเตรียมไว้ให้ สักพักหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศเรียกให้ไปที่ตม
6. เมื่อขึ้นเรือแล้ว เจ้าหน้าที่จะให้เราไปยังจุดนัดหมายเพื่อฟังข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย
ระหว่างทางที่เดินไปขึ้นเรือจะมีจุดเรียกเก็บ Passport ของผู้เดินทางครับ และเมื่อถึงเรือก็แจ้งเลขห้องให้เจ้าหน้าที่และตรวจแสกนสัมภาระอีกรอบ ก่อนจะไปฟังเกี่ยวกับเรื่องการใช้อุปกรณ์ในกรณีฉุกเฉินครับ
อยู่บนเรือสำราญแล้ว ก็ต้องทานเที่ยงเลยสิครับ มื้อแรกบนเรือเราก็เลือกเข้าห้อง Windjammer ซึ่งเป็นห้องอาหารบุฟเฟ่นานาชาติบนเรือ มีทั้งอาหารจีนและอาหารอินเดีย มีอาหารเยอะมากจนไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีเลยละ ห้องนี้จะมีบริการทั้งหมด 3 ช่วงเวลา คือ อาหารเช้า / อาหารเที่ยง / อาหารเย็น ซึ่งอาหารที่บริการนั้นจะคล้ายๆกัน แต่มีให้เลือกรับประทานเยอะจริงๆ เป็นรูปแบบที่บริการด้วยตัวเอง และห้องอาหารฟรีอีกห้องที่ตั้งอยู่ติดกับห้อง WindJammer ก็คือห้องอาหารที่บริการพิซซ่า ชื่อว่า Sorrento’s ซึ่งจะมีบริการพิซซ่า 3 หน้าหลัก ได้แก่ พิซซ่าหน้าเปปเปอร์โลนี่, พิซซ่าหน้าวิจีสเทอเรียน และพิซซ่าหน้าชีสครับ อร่อยทุกหน้าเลย ร้านพิซซ่านี้เป็นห้องอาหารที่ไว้ฝากท้องยามดึกครับ เพราะบริการถึงตีสองเลย
เมื่อถึงเวลาบ่ายโมงครึ่งผมจึงลงไปที่ Deck6 เพื่อไปยังห้องพักของเรา ซึ่งเราจะทราบเลขห้องพักตั้งแต่ตอนที่เช็คอินออนไลน์แล้วครับ ในรูปนี้ผมพักอยู่ห้อง 6628 ครับ Sea Pass จะอยู่ในซองหน้าห้อง ห้องของเราเป็นห้องพักแบบมีระเบียงบังวิวนะครับ หรือ Obstructed Ocean View Balcony เป็นห้องที่ราคาถูกที่สุดที่มีระเบียง วิวที่ถูกบังโดยส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ที่บริเวณครึ่งล่างซึ่งเป็นเรือชูชีพของเรือสำราญครับ ตอนเวลาที่เราจองห้องของเรือ Royal Caribbean นั้น จะมีให้เลือกระหว่างให้ทางเรือเลือกห้องให้ และเราเลือกห้องด้วยตัวเอง ซึ่งในกรณีที่เราเลือกห้องด้วยตัวเอง ราคาห้องก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ยิ่งชั้นสูงก็ยิ่งแพง และในทางกลับกันห้องแบบที่ทางเรือเลือกให้จะราคาถูกกว่า แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะได้ห้องแบบถูกบังวิว หรืออาจจะได้ห้องดีๆ ต้องลุ้นกันดู ทั้งนี้ก็อยู่ที่เราตัดสินใจและงบประมาณที่เรามีนะครับ
หลังจากเข้าห้องพักเราก็ทำการเข้าแอฟของเรือเพื่อทำการจองรอบการทานอาหาร ของผมเป็นแบบ My Time ซึ่งจะสามารถทานอาหารในห้อง Main Dinning รอบแรกหรือรอบสองก็ได้ครับ แต่ควรจะจองรอบไว้ก่อนนะครับ เพราะไม่อย่างงั้นจะรอคิวนาน ทำการจองโชว์หรือห้องอาหารพิเศษ หรือกิจกรรมบางอย่างก็ต้องจองผ่านแอฟครับ ในแอฟสามารถเช็คตารางกิจกรรมได้ว่าตอนนี้มีกิจกรรมอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง ซึ่งสะดวกมากครับ ซักพักใหญ่ๆก็จะมีพนักงานบนเรือที่คอยดูแลห้องเรามาเคาะประตูเพื่อแนะนำตัวและสอบถามเราว่าต้องการให้เขาเข้ามาดูแลห้องไหม ถ้าเราไม่อยากให้เขาเข้ามาก็แจ้งเขาได้ครับ ส่วนผมให้เขาเข้ามาจัดการห้องให้ ซึ่งต่างกันยังไง ถ้าเราไม่ให้เขาเข้ามา เขาจะเข้าห้องเราเฉพาะตอนที่เราอนุญาตเท่านั้น และเอกสารและข่าวสารต่างๆ เขาจะเสียบไว้ที่หน้าห้อง แต่ถ้าเราให้เขาจัดการให้ เขาจะเข้ามาจัดที่นอนให้ตอนช่วงค่ำและวางเอกสารและข่าวสารต่างๆไว้ให้ในห้อง มีพับผ้าน่ารักๆไว้บนเตียงด้วย ผมพักผ่อนอยู่ในห้องพักใหญ่เลยเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนเลยครับ
ผมเลือกดูการแสดงในรอบแรกก่อน โชว์ในคืนแรก ของห้อง Royal Theater คือ Showgirl! Past . Present . Future ซึ่งเป็นโชว์ร้องเพลง+การแสดงกายกรรม ซึ่งสนุกมาก โชว์ในห้อง Royal Theater นี้จะมีวันละ 2 รอบ และไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า หากท่านใดต้องการได้ที่นั่งดีๆ ให้รีบไปเร็วหน่อยนะครับ ส่วนท่านที่นอนห้องสวีทจะสามารถสำรองที่นั่งและเลือกที่นั่งไว้ได้ซึ่งเป็นสิทธิ์พิเศษครับสำหรับผู้ที่เข้าพักห้องระดับสวีทครับ การเลือกเวลาดูโชว์นั้นจะสัมพันธ์กับเวลาที่เราเลือกรับประทานอาหารครับ จึงควรวางแผนไว้ให้ดีจะได้ไม่พลาดกิจกรรมบนเรือที่มีอยู่มากกมายครับ
หลังจากที่ดูโชว์ในห้อง Royal Theater เสร็จแล้ว เราจึงไป Deck3 เป็นที่ตั้งของห้องอาหาร Main Dining ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักสำหรับมื้อเย็นของทุกคืนครับ ใน Sea Pass จะมีห้องอาหารระบุอยู่ว่ามื้อเย็นเราต้องรับประทานที่ห้องไหน เมนูที่พนักงานนำมาให้สั่งอาหารจะมีทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย อยากจะบอกว่าหอยทากอร่อยมาก
เมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จ ก็ใกล้ถึงเวลาของการแสดงที่ห้อง Two70 โชว์ที่ถือเป็นไฮไลท์อีกโชว์หนึ่งก็ว่าได้นั้นคือโชว์ Silkroad ครับ โชว์จะมีอยู่วันละ 2 รอบเช่นเดียวกัน เส้นทางที่ผมไป เรือล่องทั้งหมด 4 วัน 3 คืน โชว์ Silkroad จะมีการจัดแสดงในคืนแรก 2 รอบ และคืนสุดท้าย 2 รอบ ซึ่งการจะเข้าไปดูโชว์นี้ได้ต้องทำการจองไว้ก่อน ซึ่งโชว์ทุกรอบนั้นถูกจองเต็มก่อนที่เรือจะออกจากท่าครับ แต่ไม่ต้องกลัวไปนะ หากเราทำการจองไม่ทัน เรายังสามารถไปเข้าคิวเพื่อที่จะเข้าไปดูโชว์ได้ แต่จะเข้าได้หลังจากโชว์เริ่มแล้ว 5 นาที และคิวที่รอยาวมาก ผมก็เป็นคนหนึ่งนะที่จองโชว์นี้ไม่ทัน จึงไปต่อคิวรอเพื่อจะเข้าชม เมื่อได้ชมจบแล้ว ไม่ผิดหวังเลยครับ การแสดงดีมาก เพลงไพเราะมากฟังเพลินเลยครับ จึงเป็นโชว์ที่ควรจองให้ทันจะได้ไม่ต้องไปต่อคิวและได้ที่นั่งดีๆกันนะครับ
ก่อนนอนก็ไปฝากท้องที่ห้องพิซซ่า
ส่วนมือเช้าที่ห้อง Windjammer จะเป็นแบบบุฟเฟ่เหมือนกับตอนที่รับประทานไปวันก่อนครับ ส่วนห้อง Main Dinning จะให้บริการอาหารเช้าแบบ A la carte มีเมนูมาให้เราเลือกว่าจะรับอาหารเช้าแบบไหน สามารถเลือกได้มากกว่า 1 ชุด หรือถ้าไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้
หลังจากมื้อเช้าที่แสนอร่อย บนเรือก็จะมีกิจกรรมให้ได้ไปทำมากกมาย และเย็นวันนี้เรือสำราญจะเข้าเทียบท่าที่เกาะปีนังประมาณสี่โมงเย็น ซึ่งเราจะได้สัมผัสบรรยากาศปีนังช่วงพระอาทิตย์ตกและNight life ในช่วงที่เรือเทียบท่าอยู่นั้น Casino และ Dutyfree จะปิดการบริการครับ แต่กิจกรรมหลายๆอย่างก็ยังมีให้บริการ
อาหารมื้อเที่ยงในวันที่สอง ผมเลือกไปกินที่ห้องอาหารหลัก Main Dining เมนูมื้อเที่ยง จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางทีก็จะมีซ้ำบางแต่ก็แค่บางเมนู
การท่องเที่ยวในเกาะปีนังนั้นสามารถซื้อทัวร์กับทางเรือได้ หรือจะออกไปเที่ยวด้วยตัวเองก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบเลยนะครับ
ในระหว่างที่เรือเทียบท่าอยู่นั้น ร้านอาหารต่างๆบนเรือก็ยังคงให้บริการกันตามปกติ
หลังจากเที่ยวเมืองปีนังเสร็จ ผมก็ไปรับประทานอาหารที่ห้อง Main Dining เหมือนเดิม เพราะชอบการบริการ และอาหารของห้องนี้ที่สุดแล้วครับ
การแสดงในห้อง Royal Theatre วันนี้จะเป็นการแสดงมายากลครับ สนุกมาก คนเข้ามาดูการแสดงกันเต็มห้องเลย ขนาดมาเร็วยังเกือบหาที่นั่งไม่ได้เลย
หลังจากดูโชว์เสร็จ ก็ได้เวลาเข้านอนครับ วันนี้ไม่ได้กินมื้อดึกเพราะว่ากินอาหารเย็นไปหลายเมนูมาก เรื่องอาหารต้องยกให้เรือลำนี้จริงๆครับ
ลืมบอกไป หากต้องการน้ำแข็ง สามารถแจ้งพนักงานที่ดูแลห้องเราให้เอาน้ำแข็งมาให้ที่ห้องได้ครับ น้ำแข็งฟรีครับ บนเตียงของเราคืนนี้จะมีเอกสารวางไว้หนึ่งแผ่นแจ้งเรื่องการรับพาสปอร์ตคืนในวันถัดไปครับ เราจะได้วางแผนไปรับ Passport คืน จะได้เล่นกิจกรรมได้คุ้มที่สุด เพราะพรุ้งนี้เรือจะล่องทะเลทั้งวันเลยครับ
เช้านี้ที่ห้องอาหาร Windjammer ในขณะที่กำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่นั้น พนักงานก็มีการแสดงเล็กๆน้อยๆ เพื่อเป็นการขอบคุณแขกทุกๆท่านที่เข้ามาใช้บริการ ประทับใจมาก
ต่อมื้อเช้าอีกห้องได้ด้วยนะ มื้อเช้าที่ห้อง Main Dining
หลังจากมื้อเช้าที่แสนอร่อย ก็เดินเที่ยวชมเรือกัน เรือลำนี้มีร้านช้อปปิ้งเยอะมากเลย
วันนี้ผมจองกิจกรรม skypad ไว้ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถเล่นได้ฟรี พอถึงเวลาเราก็ไปยังจุดที่เล่นกิจกรรมและแสดงคิวที่เราจองไว้ใน app อยากจะบอกว่าตอนแรกเห็นคนเล่นกันก็ไม่คิดว่าจะเหนื่อยนะ พอได้ลองเล่นจริงๆ เหนือยมากแต่สนุกสุดๆเลย
มื้อเที่ยงที่ห้อง Main Dining
พอช่วงบ่ายเดินผ่านห้องดนตรีสดแล้วกำลังมีกิจกรรมสอนพับผ้าเช็ดตัว ก็เลยไปเข้าร่วมสนุกด้วย ดูแล้วเหมือนน้องหมีไหมครับ
หลังจากกิจกรรมพับผ้า ก็ต้องมากินของขึ้นชื่อของ Royal Caribbean กันหน่อย นั้นก็คือ Hotdog นั้นเอง ซึ่งอร่อยมาก ไม่ผิดหวังจริงๆ ฟรีด้วย
คอนที่ต้องการเล่นน้ำ แช่อ่างจากุชชี้ โดยที่ไม่ต้องการเสียงเด็กรบกวน เรือลำนี้มีโซนที่ให้เข้าได้เฉพาะผู้ใหญ่ด้วย เพื่อให้เราได้พักผ่อน โดยที่จะไม่มีเสียงเด็กมารบกวน โซนนี้เรียกว่า Solarium
ช่วงบ่ายของวันนี้ทางเรือจะมีประกาศให้ไปรับ Passport ตามจุดที่กำหนด จะมีเอกสารแจ้งเรืองสถานที่รับ Passport คืนและเวลาที่ให้เราไปรับนำมาแจ้งไว้ที่ห้องครับ
มื้อเย็นที่ห้อง Main Dining มื้อนี้จะเป็นคืนสุดท้ายบนเรือลำนี้ ที่ห้องอาหารนี้ก็มีการแสดงของพนักงานเพื่อขอบคุณแขกทุกท่านเหมือนกัน นี้แหละ สีสันของการใช้ชีวิตบนเรือสำราญ
การแสดงในคืนสุดท้ายนี้จะเป็นการแสดง โชว์ที่ชื่อว่า THE EFFECTORS ตอนที่เห็นตอนแรก มีแค่รูปการ์ตูน พอถึงเวลาแสดง สนุกมาก อยากให้ได้ไปดูกันนะ ถือเป็นโชว์ที่ดีมากเลย
มื้อดึก ณ ห้อง พิซซ่า
เย็นวันนี้จะมีเอกสารแจ้งเรืองเวลาการลงจากเรือมาวางไว้ที่ห้องพร้อมแทคติดกระเป๋า หากเราไม่ต้องการลากกระเป๋าลงไปเองจะต้องเก็บกระเป๋าและติดแทค แล้วนำกระเป๋าไปวางให้หน้าห้องก่อน 23.00 น. เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาเก็บกระเป๋าไปครับ เราจะเจอกระเป๋าใบนี้อีกทีเมื่อผ่าน ตม. และไปจุดรับกระเป๋าครับ
ก่อนที่เราจะลงไปจากเรือครับ ขั้นตอนการเช็คเอ้านั้นไม่ยาก หากตอนเช็คอินเราใส่บัตรเครดิตไว้แล้ว ค่าใช้จ่ายจะถูกตัดจากบัตรเครดิตโดยอัตโนมัติเลยครับ แต่หากมีปัญหาก็จะไม่สามารถออกจากเรือได้ จะต้องไปที่ Reception เพื่อตรวจสอบก่อนนะครับ ก่อนลงจากเรือทุกๆคนจะต้องลงทะเบียน CIA ให้เรียบร้อยก่อนนะครับ เมื่อออกมาจากเรือ ถ้าหากตอนวันแรกเรามีฝากของที่ไม่สามารถเอาขึ้นเรือได้ไว้กับเจ้าหน้าที่ ให้มองหาโต๊ะรับฝากของก่อนนะครับ และนำใบรับของไปแลกของคืนก่อนที่จะเข้าตม (อย่าลืมเด็ดขาดนะครับ)
สำหรับคนไทยสามารถใช้เครื่องอัตโนมัติได้เลย เมื่อผ่านมา ตม.มาแล้ว ลงบันไดเลื่อมาจะเจอจุดรับกระเป๋า ในแทคติดกระเป๋าของเราจะมีหมายเลขอยู่ ให้มองหาหมายเลขนั้นและไปรับกระเป๋าของเราครับ
ก่อนออกจากท่าเรือจำต้องนำกระเป๋าไปแสกนตรงจุดตรวจศุลกากรก่อนนะครับ
หากต้องการเที่ยวสิงคโปร์ต่อ เราสามารถลากกระเป๋าไปขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงได้ หรือจะรอที่ป้ายรถเมย์เพื่อนั่งรถเข้าเมือง หรือจะไปต่อคิวเรียกแทคซี่ได้ คิวแทคซี่จะยาวหน่อยนะครับ
สรุปความคิดเห็นและความประทับใจที่มีต่อเรือ Spectrum of The Seas เรือลำใหญ่ที่สุดที่ล่องใน Asia ตอนนี้
1. การจัดการเป็นระบบ ใช้แอฟเพื่อจัดการจองคิวต่างๆ สะดวก (จำเป็นต้องซื้ออินเตอร์เน็ต เพื่อจะได้ใช้แอฟได้เต็มประสิทธิภาพ หากไม่ได้ซื้อเน็ตของเรือจะทำได้เพียงดูตารางกิจกรรมในแต่ละวันเท่านั้น)
2. มีกิจกรรมให้เล่นและทำมากมาย เหมาะกับกรุ๊ปที่มาเป็นครอบครัว
3. อาหารที่รวมอยู่ในแพคเกจ มีให้เลือกมากมาย และมีหลายห้องให้เลือกรับประทาน หากมื้อเช้าไม่ได้กินอะไรมาก ไม่อยากรอคิว สามารถสั่งอาหารเช้ามาที่ห้องได้ แต่ถ้าต้องการอาหารเช้าแบบเยอะขึ้นมาหน่อยก็ชำระเงินเพิ่มครับ อาหารมีบริการตลอด นอกจากมื้อ เช้า กลางวัน และเย็นแล้ว ยังมีมื้อของว่างตอนสาย ตอนบ่าย และตอนดึกอีก
4. ห้องพักกว้าง และจัดรูปแบบห้องออกมาได้ดี มีที่เก็บของเยอะ และห้องเก็บเสียงดีมาก
5. การแสดงทำออกมาดีมากทุกการแสดงเลย โดยเฉพาะการแสดง The Silkroad ในห้อง Two70
6. พนักงานบนเรือให้บริการดีมากๆ
ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาชมรีวิวเรือ Spectrum of The Seas กันนะครับ หากข้อมูลตรงไหมผิดพลาด ต้องขออภัยด้วยนะครับ